Thursday, August 26, 2010

กล้องที่คาดหวังอะไรไม่ได้เลย ภาค สอง

สวัสดีครับ
ต่อเนื่องจากเรื่องที่แล้ว ผมยังไม่ได้ลงรายละเีอียดมากนัก
คราวนี้ก็จะเอารายละเอียดมาเล่าให้ฟังกันครับ
ก่อนอื่น A66 ตัวนี้มีหลายคนบอกว่า มันเหมือน เห็ดที่สี่
ผมก็ว่ามันไม่เหมือนเท่า คุณ 110 นะ เหมือนกว่าเยอะ
แต่ในที่สุด ผมก็พบว่า Facebook มองเป็น A66 เป็น G1
เห็นยังไง ก็เวลาเล่น Facebook มันก็จะมีแจก Software ด้านล่าง

Download Facebook for your G1

ตอนใช้ E71 มันก็รู้จักนะ คราวนี้ทำไมไม่รู้ รึว่ามันใหม่มาก อิอิ
เอาหล่ะ ถาม Google ซิ G1 คืออะไร
 นี่ไง มันเห็นเป็นตัวนี้ ไม่รู้ที่เค้าว่าเหมือน เพราะแบบนี้ด้วยรึป่าว

G1 ก็เป็น Android ตัวแรก (รึป่าวหนอ) ไม่งั้นก็ตัวแรกๆ
ส่วนที่ต่างก็คือมีคีย์บอร์ด ปุ่มก็มาแนวเดียวกันเลย
OS ก็เป็นตัวเดียวกัน อันนี้อาจเป็นอีกอย่างที่ทำให้
Facebook มันว่ามันเป็นตัวเดียวกัน

มาถึงเรื่องการใช้งานกันบ้างนะครับ
จอแบบ Resistive คือแบบเดียวกับ touch screen รุ่นเก่าๆ
ต้องออกแรงกด ผิวจอยุบลงนิดหน่อย ทำให้การลากลำบากนิดนึง
ไม่เหมือนพวกที่เป็น Capacitive ที่แค่แตะเท่านั้นครับ จึงลากได้ลื่นกว่า
นั่นอาจเป็นเหตุผลนึงที่มี trackball มาช่วย แต่ trackball ก็ไม่ลื่นเท่าไหร่
ทีนี้ก็ต้องลองปรับกันดูหล่ะครับ ว่าใช้อะไรแบบไหน ถึงจะลื่น
ผมมักจะใช้เล็บจิกแล้วลาก จะลื่นกว่าครับ ละเอียดกว่าด้วย
แต่ถ้าจะผ่านๆ ก็ใช้ trackball การทำงานต่างๆ ก็ต้องร่วมกับปุ่มทั้ง 4

การควบคุมก็พอได้นะครับ ส่วนเรื่องของ Android
ผมยังใหม่กับมันมากๆ แต่ก็เข้าใจง่าย ใช้ได้เลยโดยไม่ต้องศึกษามาก
ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ก็พอเป็นครับ
software ต่างๆที่ให้มาก็พอเพียงกับการใช้งานเบื้องต้น
การใช้งานโทรศัพท์ e-mail contact office ฯลฯ
ส่วนที่ต้องเพิ่มเติมก็มีบ้างครับ เช่น โปรแกรมสำหรับปิด task ต่างๆ
เนื่องจากโปรแกรม(หรือ App) ต่างๆบางตัวจะปิดไม่ได้
เราก็ต้องหา App มาปิด App ครับ
App อื่นๆ ก็แล้วแต่จะเลือกใช้ละกันครับ มีเยอะมาก
ที่ผมลงเพิ่มก็มี Opera เล่นลื่นกว่าของเดิมเยอะครับ
ตัวอื่นๆ จะค่อยมารีวิวเพิ่มนะครับ

ตัวที่ผมชอบมากคือ มี software สำหรับ syn มาในเครื่อง
เสียบเข้า USB ปุ๊บ โปรแกรม syn ก็ติดตั้งให้พร้อมใช้
ไม่ต้องใช้ CD หรือ download กันอีก

ยาวไปไม๊ พอก่อนละกันครับ
สวัสดีครับ

Saturday, August 21, 2010

กล้องที่คาดหวังอะไรไม่ได้เลย

สวัสดีครับ
กลับมาอีกแล้ว กลับกล้องที่หวังอะไรไม่ได้ 55
จริงๆมันก็ไม่ใช่กล้องครับ เพียงแต่ติดกล้องมาให้ด้วย
ไม่มีอะไรครับ ไปซื้อโทรศัพท์มาใหม่ สนอง need ตัวเอง
ก็หาอยู่นานว่าจะซื้ออะไรดี พอเลือกได้ก็ดุ่ยๆไปสอยมา

ก็เลยจะเอามาเล่าให้ฟังว่ามันเป็นยังไงบ้างเท่านั้นเองครับ
เริ่มแรกก็มีโทรศัพท์อยู่แต่รู้สึกว่า คีย์บอร์ดแบบ คิวตี้ๆ อะไรนั่น ใช้ลำบากมาก
ก็เลยอยากหาอะไรที่ใช้ง่ายกว่า เริ่มแรกก็มองไปทาง ไอโปน แต่แพงจัด
มือสอง รุ่นแรก ก็ไม่ต่ำเจ็ดพัน ขายของเก่าไปต้องเพิ่มเงินดี ไหนจะเสี่ยง
ไม่มีประกันอีก ก็มองหาต่อไป จึงเริ่มศึกษา Touch Phone ต่างๆ
แล้วก็เริ่มมองไปที่ Android ใหม่มากๆ ไม่เคยจับเลย
ศึกษาใหม่หมด จนมาพบดาวเด่นที่ใครๆ ก็พูดถึง เวลกัม A88
ทำไมต้อง A88 ก็ประมาณว่า ครบเครื่อง แต่ถูก ว่างั้น
ส่วนการใช้งาน ก็เห็นว่าดี นิ่ม ลื่น ก็ว่ากันไป แต่สำหรับผม มันยังแพงอยู่

ความตั้งใจจริงๆ ก็แค่เอามาเป็นเครื่องสำรองสำหรับการโทร
แต่เป็นเครื่องหลักสำหรับการเล่นเนต Facebook แบบที่ไหนก็ได้

และแล้วก็มาเจอดาวดวงใหม่ มาแรง แซงด้วยราคา (ตามงบ)
e110 น้องเล็ก Android จากค่าย อาเซ่อ
รูปร่างดี หน้าตาน่ารัก เสียอย่างเดียว ไม่มี wifi
ตอนแรกก็ว่าไม่เป็นไร ออก 3G/EDGE/GPRS อย่างเดียวก็พอ
ราคาก็งาม 5,990 บาท แหม ถูกใจ ถูกเงินจริงๆ
แต่ด้วยความใจเย็น เราก็รอดูต่อไป แล้วก็มาเจอนางนี้
A66 น้องเล็ก Android จากค่ายเวลกัม
ดูไปดูมา หน้าตามันชั่งละม้ายคล้าย e110 จัง
ถ้ามองว่ามีอะไรเหมือนกันบ้าง ลองดูจาก link เอานะครับ
ฝาหลังที่ แถบจะเป๊ะกันเลยทีเดียว
ด้านหน้า แม่ตำแหน่ง และชนิดของปุ่มควบคุมต่างๆ จะไม่เหมือน
แต่จำนวนมันเท่ากันแน่ๆ และหน้าที่เหมือนกันด้วย

เอาหล่ะ เรื่องความเหมือนภายใน ใช่ OS ตัวเดียวกัน
เครื่องในไม่่เหมือนแฮะ ไม่รู้อำกันรึป่าว
แต่ก็เถอะ ใกล้กันมากๆ แต่ A66 ติด wifi มาให้ แต่ไม่มี 3G
ช่างมันเถอะ ก่อนจะถึงดค้งสุดท้ายผมก็ถามน้องที่ใช้ WellcoM มาก่อน
จะเลือกอะไร น้องบอก acer เพราะอันนั้นเคยใช้แล้ว xx
อืมมม นะ แต่ก็พอจะรู้มาว่า WellcoM ไม่ได้ทำสินค้าเอง
มันมันจะมีตัวต้นแบบให้เห็นอยู่ทั่วไป เพราะฉะนั้น คงไม่เหมือนกันทุกตัวนะ

โค้งสุดท้ายมาจบลงตรงที่ อ่านเจอมาว่า A66 5,990 เท่ากัน แต่.......
มีคนซื้อได้ 3,990 ก็เลยตัดสินใจไปว่า เอาวะ ราคาแค่นี้ ลองดูซิ
มันขายเท่านี้จริงๆครับ ขอลองจับดูหน่อย แล้วก็สอยกลับบ้าน
มีเรื่องตื่นเต้นก่อนกลับนิดหน่อย อิอิ เครื่องแรกที่แกะออกมา
จอมันสั่นครับ ตั้งแต่อยู่ในร้านเลย 555 ก็บอกคนขายไป เค้าก็เปลี่ยนให้ใหม่
ตื่นเต้นไม๊หล่ะครับ 555 แต่ก็นะ มาครึ่งทางแล้ว เอากลับบ้านมาซะ

ตอนนี้ผมก็ได้ทดลองมันมา โดนเริ่มต้นจาก 0 จริงๆ
ปรากฎว่ามันทำให้ผมทึ่ง Android มันทำกันได้ครับ
บอกไม่ถูกเลย เอาเป็นว่า OS software ต่างๆ ดีทีเดียวครับ
ไม่ต้องอ่านคู่มือมาก ก็พอเข้าใจมันได้ ไม่ยาก
ตอบสนองความต้องการของผมได้ดีครับ
คีย์บอร์ด Touch screen ก็ใช้ได้ ตั้งเครื่องจะเล็กหน่อย
ถ้าตะแคงก็จะกว้างขึ้นครับ ยังสงสัยหลายอย่าง รู้แล้วจะมาบอกนะครับ

ส่วนตัวเครื่อง ก็ออกแนวบอบบาง เบา ต้องระวังหน่อยครับ
ปุ่มกดที่ให้มาก็มี กดเบาไม่ติดบ้าง แทรกบอลก็มีโดดบ้าง
ตำแหน่งปุ่มก็เล็ก และมีกีดขวางเล็กน้อยครับ
ก็ต้องปรับตัวกันพอสมควร

ตอนนี้เวลาผ่านไปหนึ่งวัน กับการเล่นแบบเรื่อยๆ
Battery เหลืออยู่ 40% ใช้งานคล่องขึ้น เข้าใจมันมากขึ้น
ผมสรุปให้ตัวเองว่า 3,990 ที่จ่ายไปคุ้มค่าครับ
แต่เห็นหลายคนบอกว่า เพิ่มเงิน สอย A88 คุ้มกว่า
ผมก็ถามตัวเองว่า เพิ่มเงินอีก 5,000 เป็น 8,990
มันคุ้มสำหรับผมไม๊....   ไม่ครับ ไม่คุ้มแน่
3,990 เล่นเนต facebook email
ควบคุมการเชื่อมต่อ EDGE หรือ Wifi ได้เองชัวๆ
interface ที่ยอมรับได้ พอแล้วครับ สำหรับผม

แต่ที่แย่ จนต้องเอามาเป็นหัวข้อก็คือ กล้องห่วยมากๆ
ไม่อยากจะคิดถึงมันเลย ห่วยจริงๆครับ

มีอะไรใหม่ ก็จะมา Update นะครับ
สวัสดีครับ


Thursday, July 8, 2010

ถ่ายภูเขา ต้อง F เท่าไหร่

สวัสดีครับ
หายไปนานเลย ไม่รู้มัวไปทำอะไร หรือไม่ได้ทำอะไร ก็ไม่รู้
กลับมารอบนี้ ก็บังเอิญว่ามีอะไรมากระตุ้นต่อมเล็กน้อย ก็เลยเขียนซักหน่อย

เรื่องที่จะเล่าถึงนี้ก็ผ่านมาซักพักนึงแล้ว ก็เหมือนเดิมครับ เจอคำถาม
"ถ่ายสิ่งนี้ ต้อง F เท่าไหร่" ที่จริงผมว่า บางท่านอาจจะเข้าใจผิดเรื่อง ปรับอะไร เพื่ออะไร
สุดท้ายทุกอย่างก็สัมพันธ์กันไปหมดอยู่ดี มาว่ากันทีละอย่างดีกว่านะครับ

อย่าง F , F-Stop หรือรูรับแสง นอกจากจะให้แสงเข้าได้มากน้อย ทำให้ภาพมืด สว่าง
มันก็จะมีผลเรื่องชัดตื้น ชัดลึกอีกด้วย ซึ่งอย่างไร ก็จะต้องไปสัมพันธ์กับ S, Speed, Shutter speed

Shutter speed ก็จะควบคุมให้แสงเข้าได้เป็นช่วงเวลา มากหรือน้อย
ผลที่ได้อย่างแรกก็คือทำให้ภาพมืด หรือสว่าง สัมพันธ์กับรูรับแสงตรงๆ
และผลอีกอย่างคือ การเห็นความเคลื่อนไหว หรือหยุดการเคลื่อนไหวในภาพ

ทีนี้มาดูว่า ถ่ายอะไร ต้องใช้ปรับอะไรเท่าไหร่
ยกตัวอย่างการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ อยู่ห่างจากตัวเรามากมาย
ดังนั้นจึงควรจะถ่ายให้ชัดลึกๆไว้ก่อน ชัดลึก ก็ต้องรูรับแสงแคบๆ
แต่ข้อจำกัดก็มีอยู่ว่า แสงต้องพอ เพราะรูรับแสงแคบ แสงจะเข้าได้น้อย
หากแสงในขณะนั้นมีน้อย ก็จะทำให้สปีดต่ำลงไปอีก อาจมีผลเรื่องมือสั่นได้อีก
ถ้าต่ำมากไป ก็คงต้องอาศัยขาตั้งกล้องช่วยครับ แต่ก็ยังมีอีกทางที่แก้ปัญหาได้
คือการเปิดรูรับแสงให้กว้างขึ้น ช่วงชัดก็จะตื้นขึ้น แต่ก็ได้สปีดกลับมาครับ

หรือตัวอย่างที่สอง การถ่ายภาพน้ำตกให้นุ่ม ขาว เป็นสาย
ปกติคือเราต้องใช้สปีดต่ำๆ ร่วมกับขาตั้งกล้องอยู่แล้ว
แต่ก็อาจมีปัญหากับสภาพแสงเช่นกัน คือถ้าบริเวณน้ำตก แสงพอประมาณ
เราก็อาจจะถ่ายได้เลย เพราะสปีดต่ำ ต้องใช้รูรับแสงแคบๆ
แต่ถ้าหากว่าแสงจัดมากๆ รูรับแสงก็อาจจะแคบสุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้สปีดที่ต้องการ
เราก็ต้องหา filter มาช่วยลดแสงลงเพื่อให้ได้แสงที่อ่อนลงครับ

จากที่เล่าไปคงจะพอดูออกนะครับ ปรับอะไรมีผลกับอะไร
นี่ยังไม่นับเรื่อง การชดเชยแสงอีกนะครับ ทำไมต้องชดเชย
ไปปรับเอาในคอมฯไม่ง่ายกว่ารึ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องเล่ากันยาวๆครับ

ไว้จะมาเล่าอีกนะครับ
วันนี้ปวดเอวละ แค่นี้ก่อนละกัน
สวัสดีครับ
(ตัวอย่างรูปก็ไม่มีเนาะ ไว้จะหามาเพิ่มให้นะครับ)

Friday, May 21, 2010

Compact เล็กๆ ที่ไม่ธรรมดา (มากับดวง)

สวัสดีครับ มิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน
ผมนายทอมมี่ ขี้โม้ มาอีกแล้ว แต่วันนี้แค่เอารูปมาให้ดูก่อน
กล้อง compact BenQ DC C1035 10MegaPixels

ได้มาเพราะโชคเข้าข้าง เล่าสั้นๆละกันนะครับ
วันนี้ไปงานสัมนา HP DSJ ก็มีแจกรางวัลหล่ะครับ ตามระเบียบ
รางวัลก็มีสองแบบ คือ รางวัลโชคเข้าข้าง จับอย่างเดียว มี BB 1 ตัว กล้อง 1 ตัว อื่นๆเล็กน้อย
และรางวัลพยายามหน่อยเผื่อโชคเข้าข้าง มีกล้อง 2 ตัว ผมได้มา 1 ตัว อิอิ
มีให้ตอบคำถาม เก็บคะแนน ทีละ 5-10 คะแนน บางข้อก็พิเศษหน่อย
ผมได้ข้อพิเศษนั้นมา แหะๆ คะแนนผมคือ 5+10+5+20 ตอบ 4 คำถามได้กล้อง อิอิ
อีกท่านที่ได้กล้อง ตอบคำถามมากหน่อยครับ ทีละ 5 ทีละสิบ ได้ไป 50 คะแนน

โชคมันไม่ได้มาเองเต็มๆ เราก็ต้องพยายามหน่อยนะครับ
ถ้าผมไม่ได้ข้อ 20 คะแนน ก็คงอดไปแล้ว โชคช่วย ช่วยโชคนะครับ

กลับมาที่กล้องดีกว่า ของรางวัลราคามันคงไม่แพงอ่ะนะ ประหยัดงบคนแจก
แต่กล้องถูกๆตัวนี้ก็ไม่ธรรมดานะครับ เพราะหลังจากลองเล่นมันมาเล็กน้อย
เอารูปมาลงคอมฯดูแล้ว ก็คิดได้ว่า คงต้องทดสอบอย่างจริงจังซะแล้วครับ
ไว้จะมารายงานอีกครั้งนะครับ

วันนี้แค่นี้ก่อน
สวัสดีครับ






Wednesday, May 5, 2010

จับกระแส จับของแพง

สวัสดีเดือนห้าครับ
สืบเนื่องมาจากข่าวเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ได้เคยไปชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้มาครั้งนึง เมื่อไม่นานมานี้
เป็นพื้นที่ในกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ อำเภอเมือง กาญจนบุรี
เนื้อที่เท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่ากว้างมากครับ





จริงๆ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาเล่าเรื่องนี้หรอกนะครับ ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ ก็ผ่านไปหลายที่
เพื่อนร่วมทริปก็มากมายเหลือเกิน ทริปท่องเที่ยว ก็คงหนีไม่พ้นถ่ายรูป
ทริปนี้ผมคิดผิดที่ไม่เอากล้อง SLR ไปด้วย แต่ดันเอา Notebook ไปแทน
แทนที่จะได้ถ่ายรูปสนุกสนาน กลายเป็นต้องไปทำงานนอกสถานที่ซะ
(ไปเที่ยว อย่าเอาอุปกรณ์ทำงานไปนะครับ)
จังหวะที่นั่งทำงาน แล้วคนอื่นๆไปทำกิจกรรมกัน ก็ได้รับตำแหน่งรับฝากของไปด้วย







มีโอกาสได้จับสองตัวนี้เทียบกัน ก็เห็นจะจะ ว่ามันคนละเรื่องกันเลย
ผมคงไม่บรรยายรายละเอียดอะไรนะครับงานนี้
งานนี้เจ้าตัวเล็กมากับเลนส์ 50mm. ตัวที่ใครๆก็มีติดกระเป๋า
ส่วนเจ้าตัวใหญ่ใส่ 35mm. LEICA ปรับมือล้วนๆ

พูดถึงเจ้าตัวใหญ่นี่ ใหญ่ หนัก ไม่ใช่ของเล่นจริงๆครับ
จับเจ้านี่ ต้องเอาจริงเอาจังพอสมควร สาวๆวัยรุ่นมาถือ ซักพักคงทิ้ง เพราะหนักมาก
ตัวกล้องมาแบบเนียนๆ แน่นๆ จับถือเข้ามือเหลือเกิน เหมาะกับมือผมจริงๆ (มือใหญ่)
ปุ่มปรับต่างๆ มีมาให้แบบไม่ต้องหามากมายก็เจอและใช้งานง่าย (มียากบ้าง)
การใช้งานร่วมกับ Fix 35mm. ของ LEICA ก็นุ่มเนียนเข้ากันได้ดีทีเดียว
ประมาณว่า เทียบรุ่นกันได้ ภาพที่ได้ก็จะดูแปลกตา ทั้งสี ความเปรียบต่าง ความชัด
การปรับด้วยมือ ทำให้ได้ความรู้สึกเก่าๆกลับมาอีกครั้ง

ภาพที่ได้จากกล้องทั้งสองตัว เทียบกันไม่ได้ ไม่ใช่เพราะคนละชั้นกันนะครับ
อย่าเอามาเทียบกันดีกว่าครับ มันไม่เหมือนกันเลย ทั้งตัวรับภาพทั้งเลนส์
หรือจะเทียบให้เห็นกันชัดๆ เค้าว่ากันว่า 550D เป็น Baby 7D
งั้นเจ้าตัวเล็กนี้ ก็คงเป็นไข่ ไม่ก็..... ก่อนผสม อิอิ

มีเรื่องมาเล่าแค่นี้เองครับ จะกล้องอะไร เลนส์อะไรก็ถ่ายรูปให้สวยได้นะครับ
ถ้าเราใช้กล้อง เลนส์ และความรู้ที่มีให้เป็นประโยชน์ ใช้ให้เต็มขีดความสามารถ
ช่วงนี้ก็จะเห็นมีการคุยเรื่องแสง และองค์ประกอบภาพมากขึ้น นี่ก็เรื่องนึงครับ
ไว้คงจะมีอะไรมาเล่าอีกครับ

ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพนะครับ
สวัสดีครับ

Wednesday, April 7, 2010

จะซื้อกล้องที่ไหนดี

สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้ง กับคำถามประจำ (แต่แปลกกว่าเดิม)
"จะซื้อ D90 ร้านไหนดี ที่มีของแถมเยอะๆ"
ดูจากคำถามแล้ว ก็แสดงว่าเลือกรุ่นได้แล้ว ที่เหลือก็หาร้านที่จะซื้อ
ก่อนที่จะมาถามผมแบบนี้ ก็แสดงว่าหาข้อมูล ทำการบ้านมาเรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านั้นไปอีก ผมจำได้คุ้นๆว่าเคยมาถามผมก่อนแล้วว่า "ซื้อกล้องอะไรดี"

ก็อย่างที่เคยบอกไป สมัยนี้เด็กตัวเล็กๆยังถือกล้องกันเลย อันนั้นไม่ซีเรียส เพราะไม่ต้องเลือก
ยกระดับเลยวัยเด็กมาหน่อย ก็จะหันมาเลือกกล้องที่เป็น SLR หรือ SLR like
สำหรับผม คำตอบสุดท้ายที่มักจะตอบไปก่อน คือ มีงบเท่าไหร่ ซื้อของที่จำเป็นให้เต็มงบไปเลย
--ของที่จำเป็น กระเป๋า ขาตั้งกล้อง แฟลช เลนส์ ฯลฯ--
ทำไมถึงบอกว่าเป็นคำตอบสุดท้ายนะเหรอ ก็คือเมื่อศึกษาข้อมูลไประดับนึงแล้ว สุดท้ายก็ต้องดูที่งบ

หากเป็นคนที่ใหม่จริงๆ ก็จะยังเลือกไม่ได้ รุ่นไหน ราคาเท่าไหร่ ต่างกับอีกรุ่นยังไง ไม่รู้
ผมก็จะแนะนำให้ไปดูราคากล้องจากร้านต่างๆก่อนเลย ราคาจะไม่ต่างกันมานัก
ราคาแต่ละร้านที่ว่าก็จะมีสองแบบ คือประกันร้าน กับประกันศูนย์
ประกันร้าน คือของที่นำเข้ามานอกระบบปกติ ไม่ผ่านผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ ร้านต้องประกันเอง
ประกันศูนย์ คือของที่นำเข้ามา ผ่านตัวแทนจำหน่าย มีการรับประกันจากศูนย์ หรือตัวแทนจำหน่าย
ประกันร้านจะถูกกว่าพอสมควรครับ แต่ปกติผมจะไม่แนะนำให้ใครซื้อ เพราะเรื่องแบบนี้
เป็นเรื่องของความซวยซะมาก ของอยู่ในประกัน อยู่ดีดีก็เสีย ไร้เหตุผล
ร้านอาจไม่รับผิดชอบก็ได้ใครจะไปรู้ครับ สัญญากันปากปล่าว ของศูนย์อุ่นใจกว่าเยอะครับ
แต่ถ้ามั่นใจว่าไม่ซวย ก็ซื้อของถูกไป จริงๆก็มาตรฐานเดียวกัน
--อ่าว สรุปยังไงเนี่ย--ก็ถ้าไม่ซวย มันก็ไม่เสียไงครับ--ถ้าซวยมันเสียก็วัดใจกับร้านละกัน--

หลังจากสำรวจราคากันแล้ว เราก็จะได้กล้องมาหลายรุ่นเลยหล่ะครับ แล้วแต่งบครับ
คนที่งบเยอะๆก็จะได้ราคามาทั้งกล้องระดับล่างๆสำหรับมือใหม่ไปยันกลาง-สูงกันเลย
ส่วนคนที่งบน้อยๆ ก็จะได้มาในช่วงระดับล่างๆ หรือระดับกลางต้นๆ (กลางตกรุ่น)
จากนั้นก็จะมีคำถามมาอีกเพียบหล่ะครับ ฟังชั่นอันนั้นเอาไว้ทำอะไร อันนี้ดีไม๊ ต้องมีรึป่าว.....
ก็ตอบคำถามกันไป สุดท้ายก็จะมาจบที่ราคาอีกครั้ง ตัวที่แพงกว่า มักจะดีกว่า เป็นส่วนใหญ่นะครับ
ช่วงนี้คนซื้อจะ งง และสับสนมาก ผมก็ต้องมาถามกลับไปว่า อันไหนจำเป็นต้องใช้บ้าง (ไม่รู้อีก)
เช่นช่วงนี้ Trend ถ่ายภาพเคลื่อนไหวกำลังมา ก็ต้องถามว่า จำเป็นรึป่าว (ไม่รู้อีก งง)
ยังไงซะก็ตัดสินใจไม่ได้ ไปหาข้อมูลเพิ่มกันก่อนละกันนะ อิอิ
หลังจากนั้นก็จะมีคำถามมาเรื่อยๆครับ เริ่มจะรู้มากขึ้น มีข้อมูลมากขึ้น

นอกจากจะหาข้อมูลต่างๆแล้ว ผมมักจะแนะนำให้ไปจับกล้องในร้าน หรือของเพื่อนๆ เล่นดู
ของเพื่อนจะเล่นได้สดวกใจมากกว่าไปร้าน แต่ไปร้านจะได้เล่นหลายตัวมากกว่าครับ
รึไม่ก็ไปตีซี้กับพวกชมรมเวบต่างๆเลยก็ดี ข้อมูลเพียบครับ ของเล่นก็เพียบ
การได้สัมผัสไป พร้อมกับศึกษาไปจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ตัดสินใจง่ายขึ้นนะครับ
กล้องต่างรุ่นต่างราคา ต่างฟังชั่นการทำงาน คุณภาพชิ้นงาน การใช้งาน เหล่านี้จะช่วยได้ครับ
แต่ก็อีกนั่นแหละ มือใหม่มากๆ ก็จะบอกว่า "แหะๆ หนูไม่รู้อ่ะ ไม่รู้สึกต่างอะไร"
หรือมีอีกพวกที่ใหม่มาก และรีบ จะเอาแล้วอ่ะ เลือกให้หน่อย ผมไม่เลือกให้นะครับ เดี๋ยวจะมาโทษกันอีก
ถ้ามาแนวนี้ ผมก็จะให้ไปลองจับ ลองเล่นที่ร้าน แล้วก็ซื้อเลยครับ ชอบอันไหนเอาอันนั้น
เลือกไม่ถูกก็เอาร้านเชียร์ หรือโยนหัวก้อยละกัน
กล้องตัวนี้คงไม่ได้ใช้ไปทั้งชีวิตเป็นแน่
ถ้าไม่เลิกไปซะก่อน คงต้องมีตัวใหม่ ซื้อเพิ่ม หรืออื่นๆ เป็นการศึกษา และใช้งานไปในตัว
การเปลี่ยนกล้อง ย้ายค่าย เพิ่มเลนส์ เป็นเรื่องปกติของคนที่ชอบในการถ่ายภาพ
คนที่ไม่ชอบจริงจัง วันนึงก็จะเลิกไปเอง เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยไปครับ

สำหรับ SLR เลือกกล้องแล้วก็ยังต้องเลือกเลนส์ ปกติผมจะแนะนำเลนส์ kit สำหรับมือใหม่นะครับ
ไม่ต้องคิดมา ใช้ไปก่อน แล้วค่อยซื้อเพิ่ม มือไม่ใหม่เค้ารู้อยู่แล้วว่าจะซื้ออะไร (เช่น Macro ในตอนที่แล้ว)

เมื่อเลือกได้แล้ว กล้องอะไร เลนส์อะไร กระเป๋าอะไร อย่างอื่นเอาไม๊
ก็เลือกร้าน ซื้อกันได้เลยครับผม แต่ร้านไหนก็เลือกเองนะครับ ผมไม่รู้
วิธีเลือกร้านของผม เอาร้านที่มีบริการ มั่นคงไม่ปิดหนี คนขายมีความรู้แนะนำได้
ร้านเล็กๆใช่ว่าไม่ดีนะครับ เค้าอาจบริการดี มีทุกอย่างที่บอกก็ได้ อันนี้ต้องศึกษาเองครับ
ผมก็แค่มาเล่าให้ฟังเท่านั้น

มีคำถามก็ยิงกันมาได้นะครับ ตอบได้ก็จะตอบให้นะครับ
สวัสดีครับ

Friday, March 19, 2010

Macro

สวัสดีครับ
ผมเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด ซึ่งเป็นที่ที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ครั้งก่อนที่ไปที่นั่น มีเพื่อนโทรมาถามเรื่องเลนส์
เค้าอยากได้เลนส์มาโครครับ ก็เลยให้คำแนะนำไปตามแนวทางของผม

จริงๆจุดประสงค์ของการถ่ายมาโคร คือการถ่ายของเล็กๆ ให้มันใหญ่ ขยายมันขึ้นมา เก็บรายละเอียด
ฉะนั้น เลนส์ที่ใช้ต้องเน้นอัตราขยายสูงๆ เก็บรายละเอียดให้ได้มากๆ คมจัด ชัดจริง
เลนส์ที่เป็นมาโครตอนนี้ ที่เห็นๆจะมีอยู่สองแบบหลักๆ คือ มาโครแท้ๆ กับพวกเทเลมาโคร

มาโครแท้ๆที่ว่า คือจะมีอัตราขยาย เป็น 1:1 ชิ้นเลนส์ถูกออกแบบมาให้เก็บรายละเอียดได้สูง
เท่าที่เจอมาจะเป็นเลนส์ fix ทั้งหมดครับ เริ่มตั้งแต่ 60mm., 85mm., 100mm., 105mm. หรืออื่นๆ
อัตราขยายที่ว่า 1:1 คือภาพที่ตกลงบนตัวรับภาพ (ไม่ว่าจะฟิล์ม หรือ sensor) จะมีขนาดเท่าของจริง
ยกตัวอย่างว่า ฟิล์ม ถ้าเราถ่ายเหรียญ 1 บาท เมื่อล้างฟิล์มมาแล้ว เหรียญในฟิล์มจะเท่าเหรียญจริง
แต่ถ้าเป็น Digital ก็จะเอามาเทียบลำบากครับ

ส่วนพวกเลนส์เทเลมาโคร จะเป็นเลนส์เทเลซูมนั่นแหละ สามารถสร้างอัตราขยายได้ไม่ถึง 1:1
เท่าที่เคยเจอมาจะเป็น 1:4 ซะเป็นส่วนมากเลยครับ (1:2 ก็มีนะครับ)
เลนส์ที่ว่าก็จะอยู่ในช่วง 70-300, 100-300 ฯลฯ

ไม่ว่าจะเป็นมาโครแบบไหน ก็จะต้องถ่ายให้ใกล้ที่สุดเท่าที่เลนส์จะทำได้ ถึงจะได้อัตราขยายสูงสุด
นอกจากเลนส์มาโครแล้ว การถ่ายของเล็กๆให้ใหญ่ ก็มีวิธีอื่นๆอีกครับ ไว้จะพูดถึงอีกทีนึงนะครับ

มาดูตัวอย่างเลนส์กันดีกว่าครับ

ตัวนี้คือ Sigma APO MACRO 150mm F2.8 EX DG HSM
Lens Construction
16 Elements in 12 Groups
Angle of View 16.4 degrees
Number of Diaphragm Blades 9 Blades
Minimum Aperture F22
Minimum Focusing Distance 38cm/15.0 in.
Maximum Magnification 1:1
Filter Size Diameter 72mm
Dimensions Diameter 79.6mm X Length 137mm
3.1 in. X 5.4 in.
Weight 895g/31.6 oz.
Corresponding AF Mounts SIGMA, CANON, NIKON (D)* Nikon mount of this lens is not equipped with an aperture ring, therefore, depending on the camera model some functions may not work.

อีกตัวนึง เทเลละกัน
Sigma APO 70-300mm F4-5.6 DG MACRO

Lens Construction 14 Elements in 10 Groups
Angle of View 34.3 - 8.2 degrees
Number of Diaphragm Blades 9 Blades
Minimum Aperture F22
Minimum Focusing Distance 150cm / 95cm(Macro mode)
Maximum Magnification 1:4.1 / 1:2(Macro mode)
Filter Size Diameter 58mm
Dimensions Diameter 76.6mm X Length 122mm
Weight 550g

สองตัวนี้ ต่างกันยังไง ก็อย่างบอกไปแล้ว ตัวบน fix ได้อัตราขยาย 1:1 ครับ 150mm.
ตัวล่าง เป็นเทเลซูม ได้อัตราขยายที่ 1:2 ใน Macro Mode ซูมได้

มาถึงคำถามสุดท้าย แล้วจะเลือกซื้อยังไงหล่ะ
อันนี้แหละครับ ตอบยาก ของแบบนี้ต้องลองถึงจะรู้ครับ
ยกตัวอย่างผมเอง ตอนนี้มี 100mm. macro อยู่ 1 ตัว สิ่งที่รู้สึกได้
โฟกัสได้ใกล้สุดที่ 30 cm. ไม่มีปัญหา
ทางยาวโฟกัส 100mm. ถ่าย Portrait ก็พอได้ แต่ต้องถอยไกลหน่อย คมเกินไป
ถ่ายงานทั่วไป ลำบาก ใช้เป็นเทเลก็พอได้ครับ แต่ซูมไม่ได้
คิดไปคิดมา ถ้าตอนนั้นซื้อ 60mm. macro คงจะเหมาะกว่า และอาจไม่ต้องซื้อ 50mm. fix มาอีกตัว
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
ยังไงจะเลือกซื้อ ก็มองหาประโยชน์ในแนวอื่นไว้ด้วยนะครับ
จะได้ประหยัดงบ ไม่ต้องแบกของเยอะเกินไป
แต่ถ้ามีงบเยอะ ก็ซื้อมาเผื่อเลือก รีดคุณภาพแบบสุดๆละกันครับ

เอาไว้เท่านี้ก่อนละกันครับ
ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพนะครับ
สวัสดีครับ

Friday, March 5, 2010

Micro four thirds system.(2)

สวัสดีครับ วันนี้ 5 มีนาคม 2553
ภาคต่อของ Micro four thirds ก็มา อิิอิ
ก็ประมาณนั้นนะครับ ทำไมถึง four thirds คงรู้กันแล้ว
ต่อไปก็คงจะไม่ยาวมากละครับ กะว่าจะจบตอนนี้แหละ

ถ้าย้อนกลับไปตอนสอนถ่ายภาพ คงจะพอมองเห็นว่า ส่วนประกอบของกล้อง SLR มีอะไรบ้าง
เล่าใหม่สั้นๆ แสงจะผ่านเลนส์ มายังกระจกสะท้อนภาพ ขึ้นมาสะท้อนเข้ามาที่ช่องมองภาพ
พอเราจัดแจงวัดแสง โฟกัส เรียบร้อย ตอนถ่ายจริง กระจกสะท้อนภาพก็จะกระดกหลบ
แสงก็จะผ่านไปได้ ชัตเตอร์ก็เปิดรับแสง และปิด เป็นอันจบกระบวนการถ่ายภาพ

Micro four thirds จับเอากล้อง SLR มาถอดกระจกสะท้อนภาพออก เพื่อลดความหนา
ช่องมองภาพก็หายตามไป ได้เป็น EVF=Electronics View Finder มาแทน
หรืออาจย้อนยุคกลับไปหา View Finder แบบโบราณแบบกล้อง Range Finder
คือเป็นช่องมองภาพแบบแยก ไม่ได้มองผ่านเลนส์ที่ใช้รับภาพ (อาจมีความคลาดเคลื่อน)
แต่แลดู คลาสสิค เก๋า ว่างั้น แหะๆ
ที่แน่ๆ ดูได้จาก LCD หลังกล้องอ่ะนะครับ

ก่อนจะไปไกล ดูรูปดีกว่า

ภาพจาก http://www.four-thirds.org/en/microft/index.html นะครับ

จากรูปก็พอจะเห็นว่า กล้องมันบางลง โครงสร้างมันก็เปลี่ยนไป
เป็น SLR แปลงกาย เค้าถึงได้สรรเสริญมันว่า "ได้ภาพใกล้เคียง SLR"
รูปอันบนสุดคือ ระยะระหว่างเลนส์กับตัวรับภาพ
เลนส์อันใหญ่คือ four thirds (SLR) อันเล็กคือของ Micro four thirds
จะเห็นว่า เลนส์มันก็จะเล็กลงไปด้วย (หากใครสงสัยว่า เลนส์มันเล็กว่า แล้วจะใกล้เคียง SLR ได้ไง)
รูปกลาง กับล่างก็คือ ผ่ามันทั้งสองอันให้ดู ว่ามีกระจก กับไม่มีกระจกงะ

อ่ะ ก็มาดูกันบ้างว่า ตอนนี้มันมีกี่รุ่น อะไรกันบ้างนะครับ
http://www.four-thirds.org/en/microft/body.html
ไปดูตาม link เอาละกันนะครับ (อารมณ์สะดุด เขียนต่อไม่ไหว อิอิ)

แต่ละตัวก็มีอะไรต่างๆกันไป อยากรู้อะไรก็ comment ไว้ได้นะครับ
ตอบได้จะตอบให้ ตอบไม่ได้ ก็จะลองดูก่อน
สวัสดีครับ

Wednesday, March 3, 2010

ภาพล้านนาในอดีต

ขอคั่นรายการด้วย LINK ดีดีที่ไปเจอมา โดยบังเอิญ
http://library.cmu.ac.th/ntic/picturelanna/
อาจจะเคยเห็นภาพกันมาแล้ว แต่ยังสงสัยว่า ใครถ่าย มาจากไหน
คำตอบอยู่ในนี้แล้วครับ ลองไปหาดูครับ

Micro four thirds system.

สวัสดีครับ
จริงๆวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาทฤษฎีอะไรมากมาย ก็เริ่มมาจากคำถามอีกแหละครับ
เรื่องมันเริ่มต้นจากบทสนทนาใน MSN

เด็กชายโหน่ง : พี่ทอม
เด็กชายโหน่ง : ว่างก่อ (ว่างไม๊)
เด็กชายโหน่ง : ขอความรู้หน่อย
ToMmY : ว่า
เด็กชายโหน่ง : http://www.zoomcamera.net/บทความ-เปรียบเทียบ-กล้องดิจิตอล/Review-Panasonic-GF1.html
เด็กชายโหน่ง : ทำไมไอ้นี่มันแพงกว่า พวก dslr คับ
เด็กชายโหน่ง : มีโอลิมปัสแหม (แหม=อีก)
เด็กชายโหน่ง : รุ่นที่เปลี่ยนเลนส์ได้นะ
เด็กชายโหน่ง : หยั่งมันมาแพง (หยั่ง=หยั๋ง=ทำไม)

นี่หล่ะครับ ต้นเหตุ
กล้องที่พูดถึงอยู่นี่ก็มีด้วยกันสองตัว สองค่าย
1. Panasonic GF1
2. Olympus ตัวนี้ไม่ได้คุยกันเรื่องรุ่น แต่ก็เดาได้ว่าเป็น E-P1, E-P2 หรือ E-PL1 ตัวใดตัวนึงหรือทั้งหมด (ว่ามาซะยาว)

กล้องพวกนี้เป็น standard ใหม่ หรือเรียกว่าเป็น format ใหม่
ต้องย้อนกลับไปมองว่า กล้องถ่ายรูปมันมีกี่ standard หรือ กี่ format
ที่เห็นชัดๆทุกวันนี้ก็จะมีกล้องที่เป็น SLR และ compact (คงรู้จักกันดีแล้ว)
แล้วมันมีอะไรอีกหล่ะ ก็เช่นพวก Medium format ที่ส่วนใหญ่จะเห็นเอาไว้ถ่ายแบบในสตูดิโอ (ที่ต้องส่องจากด้านบนกล้องหน่ะ)
ใหญ่ไปอีกก็ Large format หรือเล็กๆไปอีกก็มีนะ ไม่พูดถึงละกันนะครับ

กลับมาที่ format ใหม่ที่ว่า คือ Micro four thirds system.
ก่อนจะมาเป็นตัวนี้ มันจะเป็นอะไร ไปไม่ได้นอกจาก four thirds system เฉยๆ
เพราะ Micro คือเล็กกว่าเดิมนั่นแหละ แล้ว four thirds มันคืออะไร
อธิบายสั้นๆ ก็คือ ตัวรับภาพในกล้อง (sensor) มีอัตราส่วนเป็น 4:3 นั่นเองครับ (บางท่านคงจะรู้แล้ว)
บางท่านที่เล่น SLR ค่ายฮิต ก็อาจจะเริ่มสงสัยแล้ว "ของผมเป็น 3:2 นะเฟ่ย"
ใช่ครับ อันนั้นก็เป็นอีก format นึงครับ (ชักจะหลาย format ซะละ)
เฉพาะเรื่องของ อัตราส่วนของ sensor ก็จะงงกัน เลยเอารูปมาให้ดูกันดีกว่า

รูปนี้ยืมมาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Four_Thirds_system นะครับ
จากรูปก็จะเห็นว่าเป็นการเทียบขนาดของ sensor ใน format ต่างๆ รวมถึง film 35mm. ด้วย
กลุ่มเล็กๆนั่นจะเป็นพวก compact นะครับ ส่วนกลางๆก็จะเป็น SLR ค่ายต่างๆ
ที่ระบุค่ายไปแล้วก็เห็นว่ามี Nikon Pentax Sony Canon Sigma
ที่เหลือที่ไม่ระบุ ก็เหมาเอาว่าเป็น four thirds ละกัน อิอิ
จริงๆ ก็จะมี Fuji Kodak Leica Olympus Panasonic Sanyo Sigma(บางตัว)

น่าจะพอเข้าใจในเบื้องต้นกันแล้วนะครับ พักครึ่งซักหน่อยละกันครับ
สวัสดีครึ่งตอน

Sunday, February 28, 2010

สอนถ่ายรูปหน่อย ตอน 2


หลัง จากรู้จักส่วนประกอบในการให้เกิดภาพแล้ว รู้จักโหมดต่างๆไปบ้างแล้ว ลองใช้ไปบ้างแล้ว คราวนี้เรามาดูกันต่อนะครับว่า การทำงานของกล้องจริงๆ มันเป็นยังไง พอดีผมมีกล้องฟิล์มเก่าๆ (SLR) อยู่ตัวนึงเลยเอามาเป็นแบบสำหรับงานนี้ แต่ผมจะอธิบายแบบกลางๆนะครับ คือไม่ได้หมายความว่าเฉพาะ SLR เท่านั้นที่จะเป็นแบบนี้ กล้องอะไรๆ ก็น่าจะเป็นแบบนี้นะครับ

มา ดูกันที่ส่วนแรกคือเลนส์ ตัวที่ให้ควบคุมความชัดของภาพที่จะได้ เลนส์จะมีวงแหวนปรับความชัด หรือปรับ Focus นั่นเอง นอกจากนั้นก็จะมีวงแหวนปรับซูม (หรืออาจไม่มี ถ้าเป็นเลนส์แบบไม่มีซูม อิอิ) วงแหวนที่มีจะมี scale บอกระยะ หรือช่วงในการปรับต่างๆ เช่นระยะโฟกัสเป็นเมตรหรือฟุต ช่วงซูมมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร (mm.) อีกส่วนประกอบนึงที่อยู่ในเลนส์ตัวนี้คือรูรับแสงครับ ก็จะมีวงแหวนสำหรับปรับอีกเช่นกัน และมี scale บอกอีกเช่นกัน ตามที่เคยบอกไว้นะครับ เลนส์ตัวนี้จะปรับรูรับแสงได้กว้างสุดที่ 3.5 ต่อไปก็ 5.6 8 11 16 และแคบสุดที่ 22 อาจมีคนถามว่าไม่เห็นเหมือนกับที่ยกตัวอย่างในตอนที่แล้วเลย อ่อคือว่า มันจะไม่สามารถปรับได้ครบขนาดนั้นหรอกนะครับ แล้วแต่เลนส์ที่ผลิตออกมามากกว่าครับว่าจะให้ปรับได้แค่ไหน ค่อยมาว่ากันอีกทีละกันครับ อีกอย่างครับ ถ้าดูจากรูปจะเห็นว่ารูรับแสงจะเป็นรูปหกเหลี่ยม ก็คือแผ่นที่เอามาประกอบเป็นรูรับแสงมันมีหกชิ้นนั่นเองครับ

มา ดูกันต่อที่ตัวกล้องนะครับ ในตัวกล้องก็จะมีสองส่วนที่เหลือที่จะทำให้ได้ภาพคือ ม่านชัตเตอร์ และตัวรับภาพ ในตัวอย่างจะเป็นม่านชัตเตอร์แบบโลหะ เคลื่อนที่ในแนวตั้งนะครับ ม่านจะมีสองชุด การทำงานของมันคือชุดหนึ่งจะปิดอยู่ก่อน และอีกชุดจะเปิดอยู่ ชุดแรกจะทำหน้าที่เปิดให้แสงเข้ามา ส่วนชุดหลังจะทำหน้าที่ปิดการรับแสงตามเวลาที่เหมาะสม ก็อย่างที่บอกไปตอนที่แล้วนะครับ จะใช้หนว่ยวินาทีและเศษหนึ่งส่วนวินาทีในการเรียก ไม่ใช้ศูนย์จุดนะครับ (แต่ในคอมพิวเตอร์มักจะเจอ 0.5 วินาที อะไรแบบนี้ด้วย) ตัวนี้ก็จะปรับได้เร็วที่สุดคือ 1/2000 วินาที แค่ปกติจะไม่เขียน 1/ นะครับ เค้าจะเรียกว่า 2000 ไปเลย หมายถึง 1/2000 นั่นแหละ น้อยลงมาก็จะเป็น 1000 500 250 125 60 30 15 8 4 2 1 และ B คือ Bulb หรือกำหนดเวลาเอง (กล้องตัวนี้ก็คือนับเอาเองว่าจะเอากี่วิฯ หรือกี่นาที) ส่วนตัวรับภาพของกล้องตัวนี้คือฟิล์ม มันก็จะวางพาดอยู่หลังม่านชัตเตอร์นั่นหละครับ ถ้าเป็นกล้อง Digital มันก็จะเป็นตัวเซนเซอร์รับภาพแทนไป (ซึ่งจะมีขนาดเล็กกว่าฟิล์ม แต่มีกล้องบางรุ่นที่มีเซนเซอร์ขนาดเท่าฟิล์ม)






ส่วน อีกตัวนึงที่ผมยังไม่ได้พูดถึง เพราะว่ามันจะมีอยู่ในกล้องที่เป็น SLR เท่านั้นก็คือ กระจกสะท้อนภาพ ซึ่งจะเห็นอยู่ด้านหน้าของกล้อง มันจะทำหน้าที่ในการสะท้อนภาพที่ผ่านเลนส์เข้ามา ขึ้นไปยังส่วนที่เรียกว่าหัวกะโหลก หรือตรงช่องมองภาพนั่นเองครับ กล้องแบบที่เป็น compact หรือพวก range finder จะไม่มีตัวนี้ การทำงานของมันคือสะท้อนภาพ แต่จะเห็นว่ามันจะบังตัวม่านชัตเตอร์อยู่ด้วย เพราะฉะนั่นเวลาเรากดชัตเตอร์ กระจกตัวนี้จะกระดกหลบขึ้นไปด้านบน เพื่อให้แสงผ่านเข้าไปยังตัวรับภาพได้ ดังนั้นภาพที่เรามองจากช่องมองภาพจะมืดไปแว็บนึง ตามความไวชัตเตอร์ที่ใช้ถ่ายภาพนั่นหละครับ

รูรับแสง 22

รูรับแสง 11

รูรับแสง 5.6

รูรับแสง 3.5



เอา เป็นว่า ก็ประมาณนี้นะครับ ส่วนประกอบของกล้องที่จะทำให้เกิดภาพได้ ไม่ว่าจะกล้องอะไร ต้องมีสิน่า จะกล้องฟิล์มปัญญาอ่อน ปัญญาแข็ง โลโม่ โอโม่ โอแม้ว กล้องดิจิตอล คอมแพค SLR-Like ไม่ like มันต้องมีสิน่า สี่ตัวนี้ (อาจจะขาดไปบางอย่าง ในกล้องบางแบบ) เดี๋ยวถ้ามีเวลาอีกจะทำเป็น clip มาให้ดูดีกว่า ชัดๆกันไปเลย

ส่วนตอนนี้จะดูเป็นทฤษฎีมากไป เพิ่มเติมให้อีกนิดเรื่องของผลของความไวชัตเตอร์ละกันครับเผื่อจะได้ไปลอง กัน ความไวชัตเตอร์มันสัมพันธ์ตรงๆกับรูรับแสงอยู่แล้ว มันมีผลกับภาพยังไง เอาง่ายๆ ของที่ดิ้นได้ ขยับได้ มันจะมีผลในภาพ หากว่าเราใช้ความไวสูงๆ เราอาจเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหว ดูเหมือนไม่เคลื่อนไหว แต่หากเราใช้ ความไวชัตเตอร์ต่ำๆ สิ่งที่เคลื่อนไหวขณะที่ม่านชัตเตอร์เปิดอยู่ ก็จะแสดงความเคลื่อนไหวของมันให้เห็นในภาพเอง ลองดูจากตัวอย่าง การใช้ชัตเตอร์ต่ำๆนะครับ แล้วก็ไปลองกันดูครับ

ภาพ ตัวอย่าง ใช้ชัตเตอร์เกิน 1-2 วินาที ต้องใช้ขาตั้งกล้อง และคนในภาพต้องนิ่งอยู่จนกว่ากล้องจะทำงานเสร็จนะครับ จะมีน้ำเท่านั้นที่ไหลผ่านจนเป็นทางสีขาว ดูเหมือนจะนุ่มนวลครับ



เชิญ comment หรือสอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ ไว้เจอกันตอนหน้าครับ

Thursday, February 25, 2010

สอนถ่ายรูปหน่อย (เก่ามาจาก multiply)

อยู่ดีดีน้องผมมันก็มาให้สอนถ่าย รูปให้ ถือกล้อง S5500 มาด้วย 1 ตัว (ใส่มาในถุงแส้วๆ(ถุงก๊อบแก๊บ)) จริงๆ อีกอย่างคือกล้องมันเสีย อาการคืออยู่ดีดีก็ดับไปเฉยๆ

save as draft ไว้ หลายเดือนผ่านไป

หลัง จากไปทำอะไรช่วยคนอื่นรุ่งเรืองเนืองนอง ก็กลับมาทำอะไรของตัวเองบ้างครับ มาต่อกันที่กล้องตัวที่ว่ามันเสีย แต่ตอนผมถืออยู่มันไม่เป็นครับ เล่นเข้าไป กดนั่น จิ้มนี่ ไม่เป็นไร ไม่ดับแฮะ ก็เลยมาว่ากันที่ถ่ายยังไงดีกว่า กล้องที่ไม่ปัญญาอ่อนเกินไปนัก มักจะมีโหมดหลักๆอยู่ 4-5-10 โหมด มันจะถูกแบ่งออกเป็นโหมดปัญญาอ่อน โหมดสำเร็จรูป หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกอย่างนึงหละ อีกกลุ่มนึงก็จะเป็นโหมดก้าวหน้า โหมดพัฒนา รึอะไรก็แล้วแต่จะเรียกอีกนั่นแหละครับ

แบบ แรกจะเป็นแบบที่ไม่ต้องไปปรับอะไรมันมาก ปรับโหมดนี้แล้วถ่ายตามชนิดของภาพที่จะถ่ายได้เลย พวกนี้จะใช้สัญลักษณ์เป็นรูปของโหมด เช่น คนวิ่ง พระจันทร์ ดาวแฉก ภูเขา(อ๊ะเกือบลืม 55) ก็น่าจะเดากันออกนะครับว่าแต่ละรูปหมายถึงอะไรบ้าง ส่วนแบบที่สองที่ว่า เราสามารถปรับโน่นนี่นี่นั่นได้เยอะแยะมากมาย เพราะงั้นจึงต้องเข้าใจเรื่องหลัการทำงานของกล้องซักหน่อย แล้วจะถ่ายได้เป็นเรื่องเป็นราวหน่อย กลุ่มนี้จะใช้ตัวอักษรแทนรูปในแต่ละโหมด เช่น P S A M หรือบางยี่ห้อก็เป็น P AV TV M แล้วแต่ยี่ห้อครับ

อ่ะ มีรูปมาให้ดูด้วย อิอิ (เค้ากำลังพูดถึงเรื่องเครดิตกัน) เอามาจาก www.dpreview.com นะครับ (จะโดนจับไม๊เนี่ยกู) มาว่าถึงการทำงานของกล้องกันดีกว่า ในเบื้องต้นจะอธิบายยืดยาวก็จะไม่ได้ถ่ายกันพอดี เอาแบบรวบหัวรวบหางเลยแล้วกันครับ ส่วนประกอบของกล้องทั่วๆไปก็จะมี เลนส์(จะถอดได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่มีแน่ นอกซะจากกล้องรูเข็ม) รูรับแสง ม่านชัตเตอร์ และ ตัวรับภาพ (เพื่อเอาไปเก็บ หรือเอาไปโช) ภาพที่เราจะถ่ายจะต้องผ่านสิ่งเหล่านี้มาตามลำดับครับ เลนส์จะทำหน้าที่ในการปรับภาพให้คมชัดตามที่เรา หรือกล้องต้องการ ชัดตรงนั้นชัดตรงนี้ ฯลฯ รูรับแสงจะทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่จะผ่านเข้ามาให้มาก หรือน้อยตามความจำเป็น (จำเป็นยังไงเดี๋ยวมาว่ากัน) ม่านชัตเตอร์ทำหน้าที่เปิดเพื่อรับแสง และปิดเพื่อไม่รับแสง (อ๊ะ ยังไง) ตัวสุดท้ายคือตัวรับภาพเพื่อเอาไปเก็บ หรือแสดงผล

สิ่งที่เราต้องมาทำความเข้าใจก่อนเลยคือ ภาพหนึ่งภาพที่จะได้มาจะได้มาจากการคำนวณแสงในภาพที่เราจะถ่ายว่าพอดีหรือ ไม่ (คงเคยเห็นภาพแบบมืดไปบ้าง สว่างไปบ้าง อันนั้นคือไม่พอดีว่าง่ายๆ) ซึ่งก็จะมีระบบวัดแสงหลายแบบ (ไว้ว่ากันทีหลัง) แบบทั้วๆไปที่จะใช้เยอะก็คงเป็นแบบเฉลี่ย คือเอาค่าความสว่างของแสงทั้งภาพมาเฉลี่ยกัน เฉลี่ยแค่ไหน ถ้าตามทฤษฎีดั้งเดิมก็ประมาณว่าเอาแสงที่ได้มาคนรวมกันจะได้เป็นสีเทากลาง (18% อะไรนี่แหละ) อะเอาเป็นว่าพอดีก็คือพอดี ทีนี้การจะได้ภาพกล้องจะคำนวณให้ว่ารูรับแสงต้องเปิดกว้างแคบเท่าไหร่ มีความสัมพันธ์กับม่านชัตเตอร์ที่จะต้องเปิดรับแสงเป็นเวลานานแค่ไหน (คือปกติจะปิด เปิดรับแสง เมื่อครบเวลา ก็ปิดเหมือนเดิม)

ภาพเดียว กันสามารถตั้งค่ารูรับแสง และค่าเวลาในการเปิด-ปิดม่านชัตเตอร์ (ต่อไปจะเรียกว่าความไวชัตเตอร์นะครับ) ได้หลายค่า (ยังไงเหรอ) ตามที่บอกว่าค่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน หากรูรับแสงกว้างแสงเข้าได้เยอะ เวลาในการเปิดรับก็ไม่ต้องนาน ภาพก็จะได้แสงพอดี แต่ถ้าเปิดรูรับแสงแคบลง ก็คงต้องใช้เวลาในการเปิดรับแสงมากขึ้นตามนั้น ค่าเหล่านี้จะมีค่าเป็นตัวเลขเรียงลำดับ แต่ไม่ปกติ (ไม่ใช่ 1 2 3 4...) ในแต่ละละดับเลขจะเรียกว่า stop (คือ step นั่นเอง) ค่าของรูรับแสงจะเริ่มจากเลขสองตัว แล้วเพิ่มขึ้นแบบเท่าตัวสลับกันไปคือ 1 1.4 2 2.8 4 5.6 8 11 16 22 32 44 64 ส่วนค่าของเวลาในการเปิดรับแสง (ความไวชัตเตอร์) จะเป็นได้ตั้งแต่ วินาที และสั้นกว่านั้นจะเรียกเป็น 1 ส่วน วินาที และจะเป็นการเพิ่มแบบเบิ้ลเช่นกัน เช่น 4 (วิ) 3 2 1 1/2 1/4 1/8 1/16 1/32 1/64 1/125 1/250 .......

อะ มาสรุปก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะยาวไป สรุปว่า โหมดที่เป็นสีเขียว auto รูปภาพ ปรับไปถ่ายได้เลยตามความเหมาะสม แสงไม่พอแฟลชก็จะขึ้นเอง ปรับ iso ไม่ได้ (คือไม่ต้องปรับอะไรหนะถ่ายอย่างเดียวพอ) ส่วนโหมดที่เป็นตัวอักษร P ก็จะคล้าย Auto แต่ปรับอย่างอื่นได้บ้าง ค่อยมาว่ากันทีหลังละกันครับ โหมด A S AV TV คือการปรับอย่างใดอย่างหนึ่งเอง คือ ปรับรูรับแสงเอง กล้องจะปรับความไวชัตเตอร์ให้อัตโนมัต หรือปรับความไวชัตเตอร์เอง กล้องจะปรับรูรับแสงให้อัตโนมัติ และ M กล้องจะให้ปรับเองทั้งสองอย่าง โดยเราต้องดูตัววัดแสงเองว่า พอดีหรือยัง อืมมมมม

จบตอนแรก ไปลองถ่ายดูน้อง อิอิ

Wednesday, February 24, 2010

สวัสดีชาวโลก

สวัสดีครับ นี่ก็เป็นวันแรกสำหรับ tommy easy photo เป็น blog ใหม่ล่าสุดของผมเอง (ทำไว้เยอะแยะ) อย่างที่ทราบๆกันว่า มี blog มากมายในโลกนี่ที่ได้รับความนิยมในแนวต่างๆกันไป เช่น multiply สำหรับนักถ่ายภาพส่วนใหญ่, Hi5 สำหรับวัยรุ่นมาเม้นกันเล่นๆ,space (ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนไปฝังอยู่ใน live.com) หรือแม้แต่ blog สัญชาติไทยอย่าง bloggang และอื่นๆอีกเยอะแยะ แล้วทำไมต้องมี blogspot อีก ก็เพราะผมได้ลองสร้างไปแล้วหนึ่งตัว รู้สึกว่ามันเข้าท่าดี ก็เลยอยากลองอีกสักตัวให้เป็นเรื่องเป็นราวหน่อย ประกอบกับช่วงนี้มีคนมาปรึกษาเรื่องกล้องกับผมบ่อยๆ (อ่ลืมบอก ว่าจะเขียนเรื่องการถ่ายรูป เรื่องกล้องนะครับ ที่นี่) เลยตัดสินใจทำมันขึ้นมาดื้อๆวันนี้เลย
ยุคนี้เป็นยุคเด็กตัวเล็กๆ ถือกล้อง compact ถ่ายรูปกันเป็นว่าเล่น วัยรุ่นจนวัยทำงานก็จะถือ SLR (ไม่ก็ SLR LIKE) คำถามที่ผมเจอบ่อยมากๆคือ ซื้อกล้องอะไรดี หรือไม่ก็มาแบบแรงๆ สอนถ่ายรูปหน่อยดิ แต่ละคำถามผมจะรวบรวมมาเขียน มาตอบในนี้เพื่อให้ท่านๆได้อ่านกันด้วย แต่จะเป็นลีลาในแบบของผมนะครับ ไว้คอยติดตามละกัน อะไรที่เขียนไว้แล้วก็จะเอามาลงในนี้ไปด้วยนะครับ ทำให้มันเป็น blog ที่เป็นสาระ (มากๆ) blog แรกของผมไปเลยละกัน

หวังว่าจะมีติดตามให้กำลังใจกันนะครับ (แหวะ)
tommy